ใบความรู้ที่ 3
การปฏิบัติตนเมื่อเข่้าสู่วัยรุ่น
ฝันเปียกคืออะไร
เกิดขึ้นได้อย่างไร
การฝันเปียก
เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายมีการผลิตน้ำอสุจิ
จะเก็บสะสมไว้และเมื่อมีปริมาณมากเกินไป ร่างกายจะขับออกมาตามกลไกธรรมชาติ
โดยมีการเคลื่อนที่ของน้ำอสุจิออกมาทางอวัยวะเพศขณะนอนหลับ
วัยรุ่นชายหลายคนจึงมักพบว่า เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วมีของเหลวเปียกชื้นติดที่กางเกง
ของเหลวนี้ก็คือน้ำอสุจินั่นเอง
การฝันเปียกจึงเป็นเรื่องธรรมชาติของวัยรุ่นที่มีอายุ 13-14 ปี
อาการฝันเปียกจะค่อยๆ น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น
การฝันเปียกนอกจากจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเข้าสู่วัยหนุ่มแล้ว
ยังแสดงว่าชายหนุ่มผู้นั้นสามารถที่จะมีเพศสัมพันธ์และทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้ด้วย
หนุ่ม ๆ ควรปฏิบัติตนอย่างไร
1.วัยรุ่นชายควรดูแลรักษาความสะอาดอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่อับชื้นได้ง่าย
เช่น รักแร้ ขาหนีบ อวัยวะเพศ
ขณะอาบน้ำควรล้างบริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศให้สะอาด
เพราะบริเวณดังกล่าวจะเป็นที่สะสมของเซลล์ที่ตายแล้ว และมูกเมือกที่เรียกว่า
ขี้เปียก ซึ่งทำให้มีกลิ่นเหม็น และเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
ผู้ที่มีปัญหาหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศไม่เปิด
ทำให้รู้สึกเจ็บและทำความสะอาดไม่สะดวกควรปรึกษาแพทย์
เพื่อทำการขลิบหรือตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศออก
2.
ดูแลป้องกันมิให้อวัยวะเพศได้รับเชื้อโรคหรือได้รับการบาดเจ็บ
เช่นมีเพศสัมพันธ์โดยใส่ถุงยางอนามัย ถ้าจะเล่นกีฬาที่อาจเกิดการกระทบกระทั่งกันได้
ก็ควรใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น กระจับ เป็นต้น
3.
ถ้ามีอาการผิดปกติเกี่ยวกับอวัยวะเพศ เช่น มีก้อนแข็ง บวม เป็นแผล มีหนองและอื่นๆ
ควรรีบปรึกษาแพทย์
วัยรุ่นกับความรู้สึกหรืออารมณ์ทางเพศ
การเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นทั้งชายและหญิง ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากฮอร์โมนนั้น
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นควบคู่กันทั้งการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ
อารมณ์ และพฤติกรรมหรือการแสดงออกในสังคม ความรู้สึกหรืออารมณ์ทางเพศที่เกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่นที่เป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางเพศที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
จึงมักสังเกตได้ว่า วัยรุ่นเริ่มสนใจต่อเพศตรงข้าม ขณะเดียวกันก็ต้องการให้ตนเองเป็นที่สนใจเป็นที่ยอมรับของเพื่อนทั้งเพศเดียวกันและเพื่อนต่างเพศด้วย
นักเรียนบางคนอาจสงสัยว่าถ้ามีอารมณ์ทางเพศเกิดขึ้นจะทำอย่างไร
ความรู้สึกหรืออารมณ์ทางเพศที่บางครั้งก็เรียวกันว่า ความใคร่
หรือกามารมณ์นั้นแม้จะเป็นแรงขับทางเพศที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ
แต่เราก็สามารถควบคุมตนเองไม่ให้ตกเป็นแรงขับทางเพศได้ โดยทำกิจกรรมต่างๆ
ซึ่งช่วยเบี่ยงเบนความต้องการทางเพศไปในทางที่เหมาะสม เช่น การเล่นดนตรี กีฬา
หรือออกำลังกาย เข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการหรือทำงานอดิเรกต่างๆที่ชอบ
ซึ่งจะทำให้วัยรุ่นไม่ว่างอยู่กับตนเอง และหมกมุ่นทางเพศมากเกินไป
แต่หากยังมีความรู้สึกหรืออารมณ์ทางเพศอยู่อีก ก็อาจใช้วิธีช่วยเหลือตนเองหรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง(MASTURBATION)
เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศซึ่งสามารถจะทำได้ทั้งชายและหญิงโดยไม่ถือเป็นความผิดปกติทางเพศแต่อย่างใด
นักเรียนลองสำรวจตนเองดูว่า
มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้หรือไม่ หากมีความกังวล อย่าเก็บไว้คนเดียว
ควรปรึกษาพูดคุยกับพ่อแม่ ญาติ พี่น้องที่ใกล้ชิด
เพื่อขอคำแนะนำว่าจะมีวิธีดูแลสุขอนามัยทางเพศในเรื่องเหล่านี้อย่างไร
อนามัยวัยรุ่น
นักเรียนได้เรียนรู้แล้วว่าวัยรุ่นมีความเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายอย่างไรและความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
ทำให้นักเรียนต้องดูแลร่างกายของตนเองเป็นพิเศษเพื่อให้ดูสะอาด สดใส สมวัย
แนวปฏิบัติเพื่ออนามัยวัยรุ่น
1.
การดูแลรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ
เพศหญิง
อวัยวะเพศภายนอกของผู้หญิงนั้นเป็นร่องและรอยจีบ เหงื่อไคล ปัสสาวะ และระดูขาว
(ตกขาว) ที่ออกมาอาจติดอยู่บริเวณอวัยวะเพศภายนอก หากไม่ได้ทำความสะอาดอย่างถูกต้อง
อาจเกิดการหมักหมมและมีกลิ่นเหม็น หรือเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้น
การรักษาความสะอาด
จึงเป็นพื้นฐานของการป้องกันอาการผิดปกติในระบบสืบพันธุ์ได้อย่างดี
ในสภาวะปกติ
ผู้หญิงจึงควรหมั่นรักษาความสะอาด
ด้วยการชำระล้างอวัยวะเพศภายนอกด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งที่อาบน้ำ
และทุกครั้งหลังการอุจจาระหรือปัสสาวะ
ควรใช้น้ำล้างให้สะอาดแล้วใช้กระดาษชำระซับให้แห้ง
โดยเช็ดจากอวัยวะเพศไปทางทวารหนัก
เพื่อไม่ให้เชื้อโรคจากทวารหนักติดต่อมายังช่องคลอด
ควรใช้ชุดชั้นในที่แห้งและสะอาด ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป
ช่วงมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตลอดเดือน
จะมีผลทำให้อารมณ์ของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น ในช่วงไข่ตก
หญิงสาวอาจรู้สึกว่าตนเองมีพละกำลังเรี่ยวแรงแข็งขันมากขึ้น มีอารมณ์เพศสูงขึ้น
ในช่วงนี้บางคนอาจกินจุ หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห น้อยใจง่าย
นอกจากนี้ ก่อนที่รอบเดือนจะมา หน้าอกจะคัดตึง
รู้สึกเจ็บๆ บางทีสิวขึ้นตามใบหน้าและมีอาการท้องผูก จึงควรกินผัก ผลไม้ให้มากลดปริมาณน้ำตาลและเกลือในอาหารลงบ้างจะช่วยให้อาการข้างต้นบรรเทาลงและการออกกำลังกายสม่ำเสมอก็ช่วยได้มากทีเดียว
ก่อนและหลังการมีประจำเดือนอาจมีอาการตกขาวหรือมูกใส
(ไม่มีอาการคัน)ไหลออกมาจากช่องคลอด ไม่ต้องกังวลเพราะเป็นอาการที่เกิดขึ้นปกติ
ช่วงที่มีประจำเดือนอาจมีอาการปวดท้องน้อยได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเนื่องจากมีเลือดคั่ง
หรือมีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อมดลูกในระหว่างมีประจำเดือน
เราสามารถลดอาการปดนี้ได้ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ กินยาแก้ปวด เช่นพาราเซตามอล
หรืออาจประคบด้วยการวางถุงน้ำอุ่นบริเวณหน้าท้อง เพื่อบรรเทาอาหารปวด
นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สบาย
และอาจออกกำลังกายโดยทำกายบริหารหรือเล่นกีฬาเบาๆ
เราสามารถป้องกันการปวดประจำเดือนได้ โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เพศชาย
เวลาอาบน้ำควรฟองสบู่บริเวณอวัยวะเพศเหมือนกับส่วนอื่นๆ ของร่างกายเป็นประจำทุกวัน
เพื่อมิให้มีขี้เปียก
ซึ่งเป็นส่วนผสมของเซลล์ที่ตายแล้วและมูกเมือกซึ่งมักจะติดอยู่บริเวณคอคอดบริเวณใต้ผิวหนังองคชาต
ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้น จึงควรทำความสะอาดด้วยการดึงหนังหุ้มปลายองคชาตให้ร่นลงมาถึงคอคอด
แล้วใช้สบู่ถูคราบขี้เปียกและล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรือจะทำความสะอาดไปพร้อมกับการอาบน้ำทุกครั้งก็ได้
2. กลิ่นตัว
เป็นผลจากการปรับฮอร์โมนในร่างกาย
ขณะเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น เรามักไม่ค่อยได้กลิ่นตัวเอง เพราะประสาทรับรู้กลิ่นนั้นเคยชินตั้งแต่ศีรษะจรดฝ่าเท้า
ล้วนเป็นจุดทำให้เกิดกลิ่นได้ทั้งสิ้น
สาเหตุสำคัญของกลิ่นตัวมาจากต่อมเหงื่อซึ่งในร่างกายเรามีอยู่ 2 ชนิด คือ
ต่อมเหงื่อน้ำใส เป็นเหงื่อน้ำใสๆ
ที่อยู่ตามผิวหนัง ฝ่ามือ ฝ่าเท้า แผ่นหลัง ต่อมเหงื่อชนิดนี้ไม่มีกลิ่น
เว้นแต่จะมีการติดเชื้อ ต้นเหตุของกลิ่นอยู่ที่ต่อมเหงื่อน้ำขุ่นที่มีเฉพาะจุด
เช่น ศีรษะ รักแร้ หัวนม อวัยวะเพศ รูหูส่วนนอก หนังตา ฯลฯ
เมื่อร่างกายถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนในช่วงเปลี่ยนจาก วัยเด็กสู่หนุ่มสาว
ต่อมเหงื่อน้ำขุ่นก็จะเริ่มทำงาน โปรตีนกับไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบของเหงื่อชนิดนี้
จะถูกขับออกมาตามรูขุมขนเมื่อเหงื่อสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรีย
ก็จะเกิดการเน่าเปื่อยของหนังกำพร้า
และมีกลิ่นตามมาโดยเฉพาะบริเวณที่มีขนและอับชื้น เช่น รักแร้ หนังศีรษะ (เส้นผม)
เป็นส่วนที่มีต่อมไขมันใต้ผิวหนังเจริญได้ดี พวกแบคทีเรียต่างๆ
มักจะเกาะอยู่บนไขมันที่ผิวหนัง ขับหลั่งออกมาจนเกิดกลิ่นผม นอกจากนี้
ผมยังมีคุณสมบัติในการเก็บและกระจายกลิ่นอีกด้วย
เด็กวัยรุ่นจึงต้องสระผมให้บ่อยขึ้น ประมาณสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
หรืออาจจะสระทุกวันถ้าเหงื่อออกมากหรือเล่นกีฬา
กลิ่นรักแร้จะมาพร้อมกับขนที่งอกออกมาเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น
และกลิ่นจะแรงมากขึ้นเมื่อเป็นวัยรุ่น
ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนบางอย่างคอยกระตุ้นต่อมคัดหลั่งและต่อมไขมันใต้ผิวหนัง
ที่แม้จะทำความสะอาดด้วยการอาบน้ำ ทาแป้ง หรือใช้ยาระงับกลิ่นตัวแล้ว อาจปกปิดกลิ่นได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
กลิ่นจะยังไม่หายไปอย่างถาวร
นอกจากนี้กลิ่นรักแร้ของวัยรุ่นหญิงบางคนจะเปลี่ยนไปตามช่วงการมีรอบเดือนด้วย
ส่วนผสมของยาระงับกลิ่นตัวที่มีจำหน่ายทั่วไป
ส่วนใหญ่ประกอบด้วยยาลดเหงื่อทำให้หลอดเลือดบริเวณรักแร้หดตัวเพื่อลดการมีเหงื่อ
และยายับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค แต่มีข้อควรระวังในการใช้ เช่น
อาจเกิดอาการแพ้ มีผลให้ผิวหนังอักเสบได้
นอกจากจะแก้ปัญหากลิ่นตัวด้วยการรักษาสุขอนามัยและการใช้ยาระงับกลิ่นเหงื่อแล้ว
เรื่องอาหารก็มีส่วนอยู่มาก การกินเนื้อสัตว์ ไขมัน เครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
หรืออาหารเผ็ดร้อน เค็มจัด หวานจัด การกินอาหารซ้ำๆ
หรือกินไม่เป็นเวลาล้วนแต่เร่งให้ต่อมเหงื่อขับไขมันออกมากขึ้นเช่นกัน การกินผัก
ผลไม้ให้มากขึ้นก็เป็นการลดปัญหานี้ลงได้บ้าง แต่สำหรับบางรายที่มีกลิ่นตัวแรงมาก
ควรไปพบแพทย์ด้านผิวหนัง
3. สิว
เป็นปัญหาผิวพรรณที่พบได้บ่อยที่สุดปัญหาหนึ่ง
คนส่วนมากมักจะคิดว่าสิวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นเท่านั้น
แต่ความเป็นจริงสิวสามารถเกิดขึ้นกับคนทุกเพศ ทุกวัย
ภายใต้ผิวหนังของเรามีเซลล์และต่อมไขมันซึ่งสร้างและหลั่งสารที่เรียกว่า ซีบัม (ZEBUM)
ซึ่งสารชนิดนี้จะช่วยทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มตามธรรมชาติ ซีบัมประกอบด้วย กรดไขมัน
คอเลสเตอรอล (CHOLESTEROL) ขี้ผึ้ง และเศษเซลล์ที่ตายแล้ว
ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวไม่ให้แห้งกร้าน
ความผิดปกติบางอย่างอาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างที่มีการหลั่งซีบัม
หากร่างกายสร้างสารซีบัมขึ้นมามากเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดการอุดตันขึ้น
ซึ่งอาจเกิดการติดเชื้อ อักเสบ บวมแดง
กลายเป็นสิวอักเสบและสร้างความไม่น่าดูให้กับใบหน้าได้
การดูแลรักษา
ถ้าหากเราสามารถดูแลรักษารูขุมขนให้สะอาด
ทำให้การอุดตันของรูขุมขนลดลง โอกาสเกิดสิวอักเสบก็จะลดลงไปได้
วิธีง่ายที่สุดในการรักษารูขุมขนให้สะอาด คือ การชำระล้างผิวให้สะอาดด้วยสบู่อย่างอ่อนเป็นประจำ
ไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพง
ในกรณีที่กรรมวิธีการล้างหน้าแบบง่ายๆ
ไม่สามารถทำให้รูขุมขนสะอาดได้ สารขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วอย่างเรตินอยด์ (RETINOIDS) หรือเบนโซอิล
เปอร์อ๊อกไซด์ (BENZOYL PEROXIDE) ที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าชนิดต่างๆ
สามารถช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารเหล่านี้จะช่วยเปิดรูขุมขนและขจัดหัวสิวออกไป
แต่ก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดใบหน้าซึ่งมีอยู่หลากหลาย
ควรตรวจดูฉลากสินค้าเพื่อเลือกหาผลิตภัณฑ์ที่มีสารเหล่านี้เป็นส่วนผสมสำคัญหรืออาจขอคำแนะนำจากเภสัชกรในท้องถิ่นของนักเรียนก็ได้
คนส่วนใหญ่ที่เป็นสิวอักเสบ
มักจะบีบสิวเพื่อให้หัวสิวหลุดออกมา แต่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่า
การบีบสิวอักเสบจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาก็คือ
การติดเชื้อในบริเวณที่ลึกลงไปของเนื้อเยื่อในส่วนนั้น สิวอักเสบเพียงเล็กน้อยไม่รุนแรงนัก
สามารถควบคุมอาการได้ โดยไม่ต้องใช้ยา
แต่หากสิวเริ่มติดเชื้ออักเสบรุนแรงจนไม่อาจควบคุมอาการได้ก็จำเป็นต้องไปพบแพทย์
4. กลิ่นปาก
การเกิดกลิ่นปากอาจมีหลายปัจจัย
แต่ปัจจัยหลักคือ การหมักหมมของเศษอาหารและแบคทีเรียในปาก ดังนั้น
ในบริเวณใดที่มีเศษอาหารตกค้าง แบคทีเรียก็ทำให้เกิดการบูดเน่า และเกิดกลิ่นเหม็น
เช่น เชื้อแบคทีเรียในปากตาย ทำให้เกิดสารระเหยของซัลเฟอร์ (SULFER) ออกมาจึงเกิดกลิ่น
แบคทีเรียสลายอาหารที่อยู่ในปากทำให้เกิดกลิ่นเหม็น การไม่ดื่นน้ำหรือไม่กินอาหาร
ทำให้แบคทีเรียไม่ถูกชะล้างจึงเกิดกลิ่นปาก โรคฟันผุ สุขลักษณะช่องปากไม่ดี
มีการขังของเศษอาหารในช่องปากหรือ กลิ่นจากอาหารที่กินเข้าไป เช่น กาแฟ สุรา
หอมใหญ่ กระเทียม พริก หรือกลิ่นจากการการสูบบุหรี่ เป็นต้น
การหลั่งของน้ำลายมากหรือน้อยก็ส่งผลต่อการเกิดกลิ่นปากได้
ตัวอย่างเช่น ในช่วงเวลาอาหารที่เราอดอาหาร การหลั่งน้ำลายจะลดลง
ส่งผลให้มีกลิ่นปาก ในภาวะที่เคี้ยวอาหารจะช่วยเพิ่มการหลั่งของน้ำลายมากขึ้น
เชื้อแบคทีเรียหรืออาหารจะถูกชะล้าง ส่งผลต่อการทำความสะอาดในช่องปาก
กลิ่นปากก็ลดลงด้วย
กลิ่นเหม็นจากช่องปาก
บางครั้งเกิดขึ้นได้จากโคนลิ้นด้านในสุด เนื่องจากมีเมือกในช่องจมูกไหลลงคอ
มักจะมีสาเหตุมาจากอาการของภูมิแพ้
น้ำเมือกที่ไหลลงคอที่โคนลิ้นระยะแรกๆ จะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปาก แต่สัก 2-3
วันต่อมาแบคทีเรียก็จะย่อยน้ำเมือก ทำให้เกิดกลิ่น เราสามารถทดสอบกลิ่น
โดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบาๆ ด้านในสุดของลิ้น ปล่อยทิ้งไว้สักครู่ จึงดมดู
มีข้อสังเกตในกรณีคนที่มีกลิ่นปากจากสาเหตุนี้ เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น
แต่กลิ่นจะเหม็นเมื่อเริ่มพูดเนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหว
จึงมีกลิ่นมากขึ้น ดังนั้นจึงควรแปรงลิ้นอย่างเบามือร่วมกับการแปรงฟันทุกครั้ง
และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้นจะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกตกค้างที่ทำให้เกิดกลิ่นปากได้
การทดสอบกลิ่นปาก
โดยทั่วไปมักจะใช้มือปิดทั้งปากและจมูก
เป่าลมแรงๆ ออกจากปากและดม ซึ่งบางคนก็สามารถบอกได้ว่า มีกลิ่นปากหรือไม่
หรือจะใช้ วิธีที่ 2 คือล้างข้อมือด้วยสบู่ให้สะอาด แล้วล้างน้ำจนสะอาด
ใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้งและเลียที่ข้อมือ 4 ครั้ง หลังจากนั้น 30
นาทีให้ดมว่ามีกลิ่นหรือไม่
การดูแลรักษา
วิธีการจะแก้ไขปัญหาเรื่องกลิ่นปากให้ได้ผลนั้น
ต้องเน้นที่การดูแลรักษาอนามัยของช่องปากให้สะอาดและดูแลรักษาสภาวะในช่องปากให้เป็นปกติ
หากมีสภาพของฟันและเหงือกที่เป็นโรค ควรไปรับการรักษา ในกรณีที่มีฟันเก
มีซอกเหงือกหรือร่องเหงือกที่ทำให้มีเศษอาหารตกค้าง
ควรใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดที่บริเวณนี้เพิ่มจากการแปรงฟัน
ในส่วนของลิ้นก็ควรแปรงอย่างเบามือให้สะอาดและถูกวิธี ควรแปรงให้ถึงโคนลิ้น
ซึ่งมักเป็นแหล่งที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นในกรณีที่มีปากแห้งควรดื่มน้ำให้เพียงพอ
5. กลิ่นเท้า
เท้ารับหน้าที่มากตลอดเวลาในการรับน้ำหนัก
พาเราไปในที่ต่างๆ เท้าจึงควรได้รับการดูแลทำความสะอาดทุกวัน
โดยเฉพาะในตอนเย็นควรใช้สบู่และแปรงเล็กทำความสะอาดบริเวณซอกเล็บ ซอกนิ้วเท้า
ฝ่าเท้าและส้นเท้า
ควรนำรองเท้าออกผึ่งแดดอ่อนๆ
อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อช่วยลดกลิ่นอับและเชื้อราในรองเท้าจากการสวมรองเท้าซึ่งอบอยู่ตลอดทั้งวัน
อาจใช้แผ่นรองเท้า (หาซื้อได้ตามร้านขายรองเท้าหรือห้างสรรพสินค้า)
ใช้รองพื้นในรองเท้าและนำออกมาซักสัปดาห์ละครั้ง
ก็จะได้รองเท้าสะอาดใช้ทั้งสัปดาห์ ควรมีรองเท้าเปลี่ยนอย่างน้อยสลับกัน 2
คู่และอาจใช้สเปรย์ขจัดกลิ่นเท้าหรือสเปรย์ขจัดกลิ่นในรองเท้าฉีดพ่นถ้าจำเป็น
ถ้าเท้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราก็จะทำให้มีกลิ่นเหม็น
ควรใช้ยาฆ่าเชื้อโรคทาบริเวณที่มีการติดเชื้อ